เรียนรู้จากเกมส์แดงเดือดครั้งที่215
ภาพจาก siamsport.co.th
ฟุตบอลพรีเมี่ยร์ลีกที่ได้รับความสนใจมากคือศึกแดงเดือดระหว่างแมมยูฯ vs ลิเวอร์พูล ซึ่งผลอย่างที่ทราบแมนยูฯเปิดบ้านแพ้ไป 0:3 ประตู.... บางคนยอมอดนอนดูเพื่อความสนุกหรือสะใจ..แต่บางคนก็ยอมเหมือนกัน แต่เมื่อเสียเวลาดูแล้วให้ได้ความรู้ประเทืองปัญญา..
เราลองมาพิจารณาดูซิว่า ได้ข้อคิดเห็นอะไรจากเกมส์นี้บ้าง มุมมองแบบพื้นฐานน่าจะมีดังนี้..
1.ตัวโค้ช...ด้านทัศนคติ การคาดการณ์ อ่านเกมส์ วางแผน และการแก้เกมส์.
โค้ชของทั้งสองทีมน่าจะมีขีดความสามารถในระดับเดียวกัน..แต่มีการตัดสินใจที่แตกต่างกันอย่างเช่น... โค้ช อาร์เนอ สล็อต ของลิเวอร์พูล พาทีมมาเยือนคาดการณ์ว่าทีมเจ้าบ้านต้องจัดหนักเปิดเกมส์รุกเต็มที่ ดังนั้นเน้นที่เกมส์รับแน่น สลับตัดบอลแล้วเล่นเกมส์โต้กลับ..ส่วนโค้ช เอริก เทนฮาก ของแมนยูฯ มองความได้เปรียบที่เป็นเจ้าบ้านมีแฟนบอลให้กำลังใจ และน่าจะประมาทมองว่าเคยพาทีมชนะได้ในตอนที่โค้ช เจอร์เก็น คล็อปป์ ผู้มากประสบการณ์ที่มีดีกรีระดับแนวหน้าคุมทีมอยู่มาแล้วจึงมั่นใจ จึงวางแผนการเล่นอย่างที่เคยใช้.
2.ขุมกำลัง...
ตัวผู้เล่นของทั้งสองทีม ชื่อชั้นดูเผินๆน่าจะใกล้เคียงกัน แต่ความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้น
2.1)ผู้รักษาประตูอย่าง โอนาน่า มีดีอยู่ที่ใช้เท้าเล่นกับบอลส่วนการป้องกันประตูที่เป็นงานหลัก ศักยภาพสู้ อลิสัน ไม่ได้เลยซึ่งในเกมส์เซฟประตูได้ถึง 4-5 ครั้ง
2.2)กองหลังของทั้งสองทีมขีดความสามารถใกล้เคียงกัน แต่กองหลังของแมนยูฯต้องทำงานหนักกว่าเพราะคู่เซ็นเตอร์แบ็คต้องเคลื่อนออกไปสอดช่วยพื้นที่หลังแบ็คทั้งสองด้านตลอดทั้งเกมส์ ทำให้เปิดโอกาสและพื้นที่บริเวณหน้าปากประตูให้มีช่องว่างให้กองหน้าลิเวอร์พูลโจมตี
2.3)กองกลาง ทีมแมนยูฯ มีบรูโน, คาเซมิโร, ไมนู, และอีริคเซน เป็นหลัก..แต่บรูโนต้องช่วยเติมเพื่อสนับสนุนกองหน้า ส่วนคาเซมิโร และอีริคเซน อายุมากจึงช้าและไม่แข่งเกร็งพอ ส่วนไมนู ยังช้าทำได้แค่ไล่และพักบอลแถมยังอ่อนประสบการณ์ กองกลางจึงไม่สามารถทำเกมส์รุกกดดันได้
2.4)กองหน้า ทีมลิเวอร์พูมีแต่ตัวท๊อปๆทั้งนั้น มีซาล่าห์, ดิอาโก โยต้า, หลุยส์ ดิแอส, ดาร์วิน นูเนซ, คอดี่ คัดโป, ซึ่งสามารถจัดสลับลงเล่นได้สองชุดเลยสามารถทำเกมส์รุกที่หลากหลายกดดันกองหลังแมนยูฯได้ตลอดเวลา ส่วนของแมนยูฯ มีราสฟอร์ด, โยชัว เซิร์กซี, การ์นาโช, และอามัด..แต่ไม่สามารถใช้ศักยภาพสร้างเกมส์รุกกดดันได้รวมถึงความเฉียบคมในการยิงประตูก็ยังน้อยกว่าด้วย
3. การวางแทคติกการเล่น
แทคติกการเล่นเป็นปัจจัยสำคัญของโค้ชที่จะส่งให้ผลการแข่งขันออกมาดีหรือไม่อย่างไร มาดูแทคติกของทั้งสองทีมมีดังนี้
3.1)ลิเวอร์พูลเป็นทีมเยือน การเก็บได้ 1 แต้มกลับไปก็ถือว่าดีแล้ว ดังนั้นจึงวางเกมส์ตั้งรับแล้วโต้สวนกลับจึงวางแผนการเล่น(หลัง กลาง หน้า) 4-3-3 แล้วเน้นกองหลังเล่นแบบตั้งรับลึกคุมพื้นที่หน้ากรอบเขตโทษให้เหนียวแน่น กองกลางคุมพื้นที่แดนกลางไล่ล่าแย่งตัดบอล กองหน้าโจมตีเกมส์รุกด้วยปีกทังสองข้างเป็นหลั ก
3.2)ส่วนแมนยูฯเป็นเจ้าบ้าน ต้องชนะหวังเก็บ 3 แต้มเป็นหลักวางผู้เล่นแบบ 4-3-3 เช่นกัน จึงเน้นเปิดเกมส์รุกเข้าใส่เต็มที่ตั้งแต่เริ่มต้นเกมส์ซึ่งทำได้ดีช่วง 10 นาทีแรก หลังจากนั้นเกมส์รุกไม่สามารถกดดันได้ ปีกทั้งสองด้านไม่สามารถทะลุทะลวงผ่านแบ็คเพื่อกดดันแนวรับได้เลย ทำให้บรูโน ต้องเคลื่อนจากพื้นที่กลางตัวรุกหลุดออกจากพื้นที่แดนกลางไปช่วยสนับสนุนปีกสลับไปมาทั้งสองด้าน จนทำให้หน้าที่หลักที่เป็นกลางตัวรุก ที่ต้องสนับสนุนการเข้าทำประตู เมื่อบอลผ่านเข้ามาจากด้านข้าง และบอลไดเร็กกับกองหน้าหน้าตัวเป้าจึงทำได้น้อยมาก ทำไห้เซิร์กซี เล่นอย่างโดดเดียว จึงขาดความมั่นใจแม้ว่ามีโอกาสยิงประตูจึงทำได้ไม่ดีและไม่เฉียบคมพอ
3.3)แมนยูฯเน้นเกมส์โต้รุกกลับเร็วจาก ราสฟอร์ดและ การ์นาโช จึงหวังให้ คาซิเมโร เป็นคนเปิดบอลไกลให้ แต่สถานการณ์ไม่เป็นไปอย่างที่คิด เพราะกองหลังลิเวอร์พูลตั้งแนวรับต่ำจึงไม่เปิดพื้ที่ว่างหลังแนวรับให้ คาเซมิโร วางบอลไกลให้ปีกทั้งสองด้านได้เพื่อพาบอลทะลุไปยิงประตูได้เลย ซ้ำร้ายไปกว่านั้นเมื่อ บรูโน หลุดจากพื้นที่แดนกลางทำให้หลือผู้เล่นแค่สองคนคือ คาเซมิโรกับ ไมนู เมื่อคาเซมิโร หาจังหวะเปิดบอลไกลไม่ได้ก็ต้องครองบอลรอจังหวะ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับกองกลางของลิเวอร์พูลที่มีผู้เล่นมากกว่า วิ่งไล่ล่าดุดันเข้าแย่งบอลจาก คาเซมิโร ได้ถึงสองครั้งแล้วส่งบอลให้กองหน้าเข้าทำประตู
3.4)เมื่อปีกทั้งสองข้างไม่สามารถสร้างเกมส์รุกผ่านแนวรับของลิเวอร์พูลไปได้ บางจังหวะแบ็คทั้งสองด้านของแมนยูฯจะเติมขึ้นไปช่วย แต่ก็ไม่ได้สร้างความกดดันอะไรเลย ทำให้แนวรับของกองหลังมีผู้เล่นเหลือน้อยลง และปีกทั้งสองด้านก็ไม่ถอยกลับลงมาช่วยกองกลางหรือกองหลังเมื่อสถานะการณ์เป็นเกมส์รับอีกด้วย ทำให้เซ็นเตอร์แบ็คทั้งสองคนต้องทำงานหนักมากไปด้วย ลิเวอร์พูลจึงมีพื้นที่ว่างและโอกาสในการกดดันเข้าทำประตูได้มากกว่า
3.5)เมื่อได้ โอนาน่า มาทำให้แทคติกการทำเกมส์รุกจากแดนหลังทำได้อย่างมั่นใจ ซึ่งโอนาน่า เองเคยเปิดบอลระยะไกลให้กองหน้าทำประตูได้ด้วย(แต่เทคนิคในการป้องกันประตูทำได้ดีน้อยกว่า อลิสัน ของลิเวอร์พูลมาก) ดังนั้นการขึ้นเกมส์ที่มาจากแนวหลังจึงทำบ่อยๆ แม้ว่าการเซ็ทเกมส์เป็นแท็คติกการครองบอลของทีมที่ดีก็จริง ซึ่งควรทำเมื่อทีมเป็นเกมส์นำหรือครองบอลเพื่อดึงผู้เล่นคู่ต่อสู้ ให้ตามขึ้นมาทำให้มีช่วงวางในการโจมตีมากขึ้น...สิ่งที่ทำถ้าทำถูกวิธีก็มีคุณ แต่ถ้าทำไม่ถูกวิธีก็จะมีโทษ..ดังนั้นการเซ็ทเกมส์ในแดนหลังหน้าปากประตูของตนเอง ถ้าพลาดเป็นอันตรายอันใหญ่หลวง ลิเวอร์พูลปล่อยให้กองหลังแมนยูฯเซ็ทบอลได้ในบริเวณหน้าประตู พอจ่ายบอลขึ้นมาแดนกลางก็จะถูกโจมตีไล่ล่าแย่งบอลทันที เหมือนที่คาเซมิโร และ ไมนู ถูกเบียดแย่งจนเป็นที่มาของการเสียทั้ง 3 ประตู..
บทสรุปอย่างที่เห็นแมนยูฯได้เปรียบแค่เป็นทีมเจ้าบ้านมีแฟนบอลเข้ามาให้กำลังใจมากกว่า นอกนั้นไม่ได้เปรียบอะไรเลยผลการแข่งขันจึงออกมาอย่างที่เห็น....(โค้ชน่าจะต้องปวดหัว เพราะมีจุดบกพร่องที่ต้องปรับแก้หลายอย่าง สิ่งที่จำเป็นจะต้องสร้างความเข้าใจและฝึกซ้อมแทคติกซ้ำๆ จนคุ้นเคยมีความสัมพันธ์กันอย่างดีมากกว่านี้ รวมถึงให้นักจิตวิทยาช่วยสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองสำหรับผู้เล่นบางคนให้แสดงศักยภาพที่มีออกมาให้มากที่สุดด้วย รูปเกมส์การเล่นของทีมจะสามารถเล่นกับทีมอื่นๆได้สนุกและผลการแข่งขันจะออกมาดีกว่านี้)