วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2567

  

        เรียนรู้จากเกมส์แดงเดือดครั้งที่215


ภาพจาก siamsport.co.th

                                          ฟุตบอลพรีเมี่ยร์ลีกที่ได้รับความสนใจมากคือศึกแดงเดือดระหว่างแมมยูฯ vs ลิเวอร์พูล ซึ่งผลอย่างที่ทราบแมนยูฯเปิดบ้านแพ้ไป 0:3 ประตู.... บางคนยอมอดนอนดูเพื่อความสนุกหรือสะใจ..แต่บางคนก็ยอมเหมือนกัน แต่เมื่อเสียเวลาดูแล้วให้ได้ความรู้ประเทืองปัญญา..

                                           เราลองมาพิจารณาดูซิว่า ได้ข้อคิดเห็นอะไรจากเกมส์นี้บ้าง มุมมองแบบพื้นฐานน่าจะมีดังนี้..

                                          1.ตัวโค้ช...ด้านทัศนคติ การคาดการณ์ อ่านเกมส์ วางแผน และการแก้เกมส์.

                                     โค้ชของทั้งสองทีมน่าจะมีขีดความสามารถในระดับเดียวกัน..แต่มีการตัดสินใจที่แตกต่างกันอย่างเช่น...  โค้ช อาร์เนอ สล็อต ของลิเวอร์พูล พาทีมมาเยือนคาดการณ์ว่าทีมเจ้าบ้านต้องจัดหนักเปิดเกมส์รุกเต็มที่ ดังนั้นเน้นที่เกมส์รับแน่น สลับตัดบอลแล้วเล่นเกมส์โต้กลับ..ส่วนโค้ช เอริก เทนฮาก ของแมนยูฯ มองความได้เปรียบที่เป็นเจ้าบ้านมีแฟนบอลให้กำลังใจ และน่าจะประมาทมองว่าเคยพาทีมชนะได้ในตอนที่โค้ช เจอร์เก็น คล็อปป์ ผู้มากประสบการณ์ที่มีดีกรีระดับแนวหน้าคุมทีมอยู่มาแล้วจึงมั่นใจ จึงวางแผนการเล่นอย่างที่เคยใช้.

                                           2.ขุมกำลัง...

                                        ตัวผู้เล่นของทั้งสองทีม ชื่อชั้นดูเผินๆน่าจะใกล้เคียงกัน แต่ความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้น 

                                              2.1)ผู้รักษาประตูอย่าง โอนาน่า มีดีอยู่ที่ใช้เท้าเล่นกับบอลส่วนการป้องกันประตูที่เป็นงานหลัก ศักยภาพสู้ อลิสัน ไม่ได้เลยซึ่งในเกมส์เซฟประตูได้ถึง 4-5 ครั้ง

                                              2.2)กองหลังของทั้งสองทีมขีดความสามารถใกล้เคียงกัน แต่กองหลังของแมนยูฯต้องทำงานหนักกว่าเพราะคู่เซ็นเตอร์แบ็คต้องเคลื่อนออกไปสอดช่วยพื้นที่หลังแบ็คทั้งสองด้านตลอดทั้งเกมส์ ทำให้เปิดโอกาสและพื้นที่บริเวณหน้าปากประตูให้มีช่องว่างให้กองหน้าลิเวอร์พูลโจมตี

                                              2.3)กองกลาง ทีมแมนยูฯ มีบรูโน, คาเซมิโร, ไมนู, และอีริคเซน เป็นหลัก..แต่บรูโนต้องช่วยเติมเพื่อสนับสนุนกองหน้า ส่วนคาเซมิโร และอีริคเซน อายุมากจึงช้าและไม่แข่งเกร็งพอ ส่วนไมนู ยังช้าทำได้แค่ไล่และพักบอลแถมยังอ่อนประสบการณ์ กองกลางจึงไม่สามารถทำเกมส์รุกกดดันได้

                                              2.4)กองหน้า ทีมลิเวอร์พูมีแต่ตัวท๊อปๆทั้งนั้น มีซาล่าห์, ดิอาโก โยต้า, หลุยส์ ดิแอส, ดาร์วิน นูเนซ, คอดี่ คัดโป, ซึ่งสามารถจัดสลับลงเล่นได้สองชุดเลยสามารถทำเกมส์รุกที่หลากหลายกดดันกองหลังแมนยูฯได้ตลอดเวลา ส่วนของแมนยูฯ มีราสฟอร์ด, โยชัว เซิร์กซี, การ์นาโช, และอามัด..แต่ไม่สามารถใช้ศักยภาพสร้างเกมส์รุกกดดันได้รวมถึงความเฉียบคมในการยิงประตูก็ยังน้อยกว่าด้วย

                                          3. การวางแทคติกการเล่น     

                                            แทคติกการเล่นเป็นปัจจัยสำคัญของโค้ชที่จะส่งให้ผลการแข่งขันออกมาดีหรือไม่อย่างไร มาดูแทคติกของทั้งสองทีมมีดังนี้

                                             3.1)ลิเวอร์พูลเป็นทีมเยือน การเก็บได้ 1 แต้มกลับไปก็ถือว่าดีแล้ว ดังนั้นจึงวางเกมส์ตั้งรับแล้วโต้สวนกลับจึงวางแผนการเล่น(หลัง กลาง หน้า) 4-3-3 แล้วเน้นกองหลังเล่นแบบตั้งรับลึกคุมพื้นที่หน้ากรอบเขตโทษให้เหนียวแน่น กองกลางคุมพื้นที่แดนกลางไล่ล่าแย่งตัดบอล กองหน้าโจมตีเกมส์รุกด้วยปีกทังสองข้างเป็นหลั  ก

                                             3.2)ส่วนแมนยูฯเป็นเจ้าบ้าน ต้องชนะหวังเก็บ 3 แต้มเป็นหลักวางผู้เล่นแบบ 4-3-3 เช่นกัน จึงเน้นเปิดเกมส์รุกเข้าใส่เต็มที่ตั้งแต่เริ่มต้นเกมส์ซึ่งทำได้ดีช่วง 10 นาทีแรก หลังจากนั้นเกมส์รุกไม่สามารถกดดันได้ ปีกทั้งสองด้านไม่สามารถทะลุทะลวงผ่านแบ็คเพื่อกดดันแนวรับได้เลย ทำให้บรูโน ต้องเคลื่อนจากพื้นที่กลางตัวรุกหลุดออกจากพื้นที่แดนกลางไปช่วยสนับสนุนปีกสลับไปมาทั้งสองด้าน จนทำให้หน้าที่หลักที่เป็นกลางตัวรุก ที่ต้องสนับสนุนการเข้าทำประตู เมื่อบอลผ่านเข้ามาจากด้านข้าง และบอลไดเร็กกับกองหน้าหน้าตัวเป้าจึงทำได้น้อยมาก ทำไห้เซิร์กซี เล่นอย่างโดดเดียว จึงขาดความมั่นใจแม้ว่ามีโอกาสยิงประตูจึงทำได้ไม่ดีและไม่เฉียบคมพอ

                                            3.3)แมนยูฯเน้นเกมส์โต้รุกกลับเร็วจาก ราสฟอร์ดและ การ์นาโช จึงหวังให้ คาซิเมโร เป็นคนเปิดบอลไกลให้ แต่สถานการณ์ไม่เป็นไปอย่างที่คิด เพราะกองหลังลิเวอร์พูลตั้งแนวรับต่ำจึงไม่เปิดพื้ที่ว่างหลังแนวรับให้ คาเซมิโร วางบอลไกลให้ปีกทั้งสองด้านได้เพื่อพาบอลทะลุไปยิงประตูได้เลย ซ้ำร้ายไปกว่านั้นเมื่อ บรูโน หลุดจากพื้นที่แดนกลางทำให้หลือผู้เล่นแค่สองคนคือ คาเซมิโรกับ ไมนู  เมื่อคาเซมิโร หาจังหวะเปิดบอลไกลไม่ได้ก็ต้องครองบอลรอจังหวะ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับกองกลางของลิเวอร์พูลที่มีผู้เล่นมากกว่า วิ่งไล่ล่าดุดันเข้าแย่งบอลจาก คาเซมิโร ได้ถึงสองครั้งแล้วส่งบอลให้กองหน้าเข้าทำประตู

                                            3.4)เมื่อปีกทั้งสองข้างไม่สามารถสร้างเกมส์รุกผ่านแนวรับของลิเวอร์พูลไปได้ บางจังหวะแบ็คทั้งสองด้านของแมนยูฯจะเติมขึ้นไปช่วย แต่ก็ไม่ได้สร้างความกดดันอะไรเลย ทำให้แนวรับของกองหลังมีผู้เล่นเหลือน้อยลง และปีกทั้งสองด้านก็ไม่ถอยกลับลงมาช่วยกองกลางหรือกองหลังเมื่อสถานะการณ์เป็นเกมส์รับอีกด้วย ทำให้เซ็นเตอร์แบ็คทั้งสองคนต้องทำงานหนักมากไปด้วย ลิเวอร์พูลจึงมีพื้นที่ว่างและโอกาสในการกดดันเข้าทำประตูได้มากกว่า

                                            3.5)เมื่อได้ โอนาน่า มาทำให้แทคติกการทำเกมส์รุกจากแดนหลังทำได้อย่างมั่นใจ ซึ่งโอนาน่า เองเคยเปิดบอลระยะไกลให้กองหน้าทำประตูได้ด้วย(แต่เทคนิคในการป้องกันประตูทำได้ดีน้อยกว่า อลิสัน ของลิเวอร์พูลมาก)  ดังนั้นการขึ้นเกมส์ที่มาจากแนวหลังจึงทำบ่อยๆ แม้ว่าการเซ็ทเกมส์เป็นแท็คติกการครองบอลของทีมที่ดีก็จริง ซึ่งควรทำเมื่อทีมเป็นเกมส์นำหรือครองบอลเพื่อดึงผู้เล่นคู่ต่อสู้ ให้ตามขึ้นมาทำให้มีช่วงวางในการโจมตีมากขึ้น...สิ่งที่ทำถ้าทำถูกวิธีก็มีคุณ แต่ถ้าทำไม่ถูกวิธีก็จะมีโทษ..ดังนั้นการเซ็ทเกมส์ในแดนหลังหน้าปากประตูของตนเอง ถ้าพลาดเป็นอันตรายอันใหญ่หลวง ลิเวอร์พูลปล่อยให้กองหลังแมนยูฯเซ็ทบอลได้ในบริเวณหน้าประตู พอจ่ายบอลขึ้นมาแดนกลางก็จะถูกโจมตีไล่ล่าแย่งบอลทันที เหมือนที่คาเซมิโร และ ไมนู ถูกเบียดแย่งจนเป็นที่มาของการเสียทั้ง 3 ประตู..

                                          บทสรุปอย่างที่เห็นแมนยูฯได้เปรียบแค่เป็นทีมเจ้าบ้านมีแฟนบอลเข้ามาให้กำลังใจมากกว่า นอกนั้นไม่ได้เปรียบอะไรเลยผลการแข่งขันจึงออกมาอย่างที่เห็น....(โค้ชน่าจะต้องปวดหัว เพราะมีจุดบกพร่องที่ต้องปรับแก้หลายอย่าง สิ่งที่จำเป็นจะต้องสร้างความเข้าใจและฝึกซ้อมแทคติกซ้ำๆ จนคุ้นเคยมีความสัมพันธ์กันอย่างดีมากกว่านี้ รวมถึงให้นักจิตวิทยาช่วยสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองสำหรับผู้เล่นบางคนให้แสดงศักยภาพที่มีออกมาให้มากที่สุดด้วย   รูปเกมส์การเล่นของทีมจะสามารถเล่นกับทีมอื่นๆได้สนุกและผลการแข่งขันจะออกมาดีกว่านี้)                            

วันอังคารที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2567

แนวคิดใหม่เพื่อไปบอลโลก.

 

สร้างแนวคิดใหม่เพื่อไปบอลโลก

ภาพจาก www.sanook.com

                                            ไทยจะไปบอลโลก!! เราจะได้ยินคำนี้กันบ่อยๆ แต่มีบางคนพูดว่ามันเป็นเพียงความฝัน พอตื่นขึ้นมาก็เงียบหายไป....ความจริงมีความเป็นไปได้ถ้าคนไทยทุกภาคส่วนร่วมด้วยช่วยกัน..

                                             คงต้องเริ่มที่สมาคมฟุตบอลฯ ที่ต้องมีนายกฯและคณะทีมบริหารฯ ที่มีคุณสมบัติดังนี้..มีวิสัยทัศนกว้างไกล และใจกว้าง(ไม่ใช่หวังผลงานแค่ซีเกมส์หรือกลุ่มอาเซียนเป็นหลัก) ควรวางแผนแม่บทการพัฒนาฯระยะยาว 10 - 15 ปี ซึ่งภาระการพัฒนาอาจจะเกินวาระที่ดำรงตำแหน่ง แต่ไม่ว่าใครจะได้มาทำหน้าที่ก็ต้องสานต่องานตามแผนแม่บทที่กำหนดไว้ และกำหนดเป้าหมายที่ควรจะเน้นให้ชัด โดยกำหนดเป้าว่าเราต้องผ่านการคัดเลือกเข้าไปแข่งขันในกีฬาโอลิมปิกให้ได้เป็นอันดับแรก ส่วนเป้าหมายการไปบอลโลกให้ความสำคัญรองลงมา...ทุกคนจะมองว่าข้อคิดนี้เพี้ยนไปหรือเปล่า?...

                                            ท่านต้องดูเหตุผลต่อไปนี้..

                                          1) ที่ผ่านๆมาเรามุ่งไปที่บอลโลกเป็นหลัก จึงทุ่มเทไปทีมชาติชุดใหญ่ ทั้งๆที่มาตรฐานและศักยภาพของผู้เล่นและทีมยังอยู่เพียงระดับอาเซี่ยนเท่านั้น

                                          2) ทีมที่ได้รับการพัฒนามักจะมีเพียงทีมเดียวที่ดูดีมีอนาคตในแต่ละช่วงเท่านั้น เช่นชุดดรีมทีม แล้วมาถึงชุดของธีราทร บุญมาทัน กับชนาธิป สรงกระสินธ์ เท่านั้น ซึ่งแต่ละช่วงจะห่างกัน จะเห็นว่าไม่มีผู้เล่นที่มีมาตรฐานดีพอเป็นทีมที่ฝากความหวังได้เลย

                                          3) ถ้าบังเอิญหรือโชคช่วยทีมได้หลุดเข้าไปเล่นในบอลโลกจริง เหมือนทีมฟุตบอลหญิงที่มีโชคไปบอลโลกถึง 2 ครั้ง ในแต่ละครั้งทีมและศักยภาพของผู้เล่นก็ยังต่ำกว่ามาตรฐานอีกมากซึ่งระยะต่อมาทีมเราก็มีโอกาสน้อยลง เพราะเรายังเตรียมการยังไม่ดีพอและไม่มีแผนพัฒนาที่เข้มข้นชัดเจน

                                          4) ถ้ากำหนดเป้าหมายต่ำลงมาก่อน มุ่งไปที่ระดับโอลิมปิก(ดูแล้วอาจจะทำให้ด้านงบประมาณขาดหายไปก็จริง) แต่แผนพัฒนาจะมุ่งเน้นไปที่ผู้เล่นเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 23 ปีในทุกระดับ(ตามแนวทางการพัฒนาจากศูนย์พัฒนาฟุตบอลของสมาคมฯ 4 ภาค 5 ศูนย์ ตามที่ผู้เขียนเคยนำเสนอก่อนหน้านี้แล้ว) ซึ่งถ้าไม่ใจร้อนและอดทนใช้เวลาที่เหมาะสมแล้วการเน้นที่จุดนี้ ย่อมพัฒนาขุมกำลังที่มีให้เข้มแข็งแล้วค่อยเก็บเกี่ยวความสำเร็จในแต่ละระดับอย่างต่อเนื่องด้วยความยั่งยืนได้

                                          5) เมื่อได้ดำเนินการตามข้อ 4 แล้วสิ่งที่เราจะได้คือขุมกำลังที่ดีมีศักยภาพมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะก้าวสู่การแข่งขันในรายการใหญ่ๆของเอเซียได้ ไม่ว่าจะเป็นรายการ  เอเชี่ยนเกมส์ และโอลิมปิคอย่างเต็มความภาคภูมิ

                                          6) ซึ่งเมื่อผู้เล่นในชุดดังกล่าวมีศักยภาพพร้อมในทุกด้าน ประสบการณ์มากพอสามารต่อกับทุกชาติในระดับเอเซียได้แล้วมีผลงานที่ดีขึ้นมา ผลพลอยได้จะทำให้ทีมชุดใหญ่แข็งแกร่งสามารถต่อกรกับทุกชาติในเอเซียได้อย่างมั่นคง สามารถเบียดแย่งโค้วต้าเพื่อเข้าสู่รายการแข่งขันฟุตบอลโลกได้ในที่สุด(เพราะขุมกำลังจากกลุ่มเยาวชนเราดีเพียงพอและได้ผ่านประสบการณ์กับทีมในระดับแนวหน้าของเอเซียมาแล้วตั้งแต่เยาวชน)

                                            ดังนั้น เมื่อให้ความสนใจผู้เล่นระดับเยาวชนในศูนย์พัฒนาฟุตบอล 4 ภาค 5 ศูนย์อย่างจริงจัง จะทำให้เรามีผู้เล่นที่ฝีเท้าดีมีประสบการณ์ มีศักยภาพที่ดี มีความเข้าใจแทคติกการเล่นในระดับมาตราฐานสากล และมีสไตล์การเล่นที่เหมาะสมกับคนไทยไปในแนวทางเดียวกันทั้งหมด ซึ่งผู้เล่นแต่ละคนสามารถเล่นด้วยกัน หรือทดแทนกันได้อย่างสมดุลย์ รากฐานที่เข้มแข็งนี้จะเป็นพลังสำคัญที่ช่วยสร้างโอกาสที่สูงขึ้น เพื่อให้ทีมไทยเราได้เข้าร่วมเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้จริงอย่างแน่นอน แต่อย่าลืมว่าต้องไม่ใจร้อนข้ามขั้นตอน หลอกตัวเอง ฝันว่าทีมเราเก่งสามารถไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้ แล้วทุ่มให้ทีมชุดใหญ่ชุดเดียวอย่างที่เป็นอยู่ ซึ่งผลอาจจะเกิดขึ้นได้ถ้าโชคช่วย แต่ผลการแข่งขันอาจจะยับเยินไม่น่าประทับใจอย่างที่เคยเป็น เพราะมาตรฐานและศักยภาพของทีมยังไม่เสถียรและไม่ยั่งยืน...