ฝึกทักษะการเล่นเกมรุกให้มีประสิทธิภาพ (ตอนที่ 4 )
ภาพจาก taringa.net
3.การผ่านบอลจากเส้นประตูตัดหลังแบ็ค ( Cut back ) เมื่อสถานะการณ์เปลี่ยน ผู้เล่นฝ่ายรุกที่พาบอลทะลุและหนีฝ่ายรับเข้าไปถึงเส้นประตู ซึ่งเป็นการยากที่จะผ่านบอลให้กองหน้าที่รอยิงอยู่ที่หน้าประตูได้ง่าย ดังนั้นจึงควรสร้างโอกาสด้วยวิธีใหม่ โดยการส่งบอลผ่านแนวรับตัดหลังแบ็คออกมาให้เพื่อนร่วมทีมที่หนีตัวถอยกลับออกมารับบอลแล้วยิงประตูทันที ตัวอย่างในภาพที่ 5
4.การเลี้ยงพาบอลเข้าไปยิงเอง ( Solo ) ในบางครั้งสถานการณ์ไม่ได้เป็นใจอย่างที่เราต้องการ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เมื่อไม่สามารถจะส่งบอลให้เพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆได้ เพื่อไม่ให้เสียการครอบครองบอลไปจึงควรตัดสินใจ กระชาก ลากเลี้ยงบอลทะลุทะลวงแนวรับเข้าไปเพื่อยิงประตูเองทันที ดังตัวอย่างการเล่นในภาพที่ 6 เป็นต้น
6. การส่งบอลทะลุตามช่อง ( Through ) บางครั้งโอกาสเปิด เราสามารถฉกฉวยโอกาสที่ฝ่ายรับยืนป้องกันไม่ดีมีช่องว่างเปิดกว้าง ทำให้สามารถส่งบอลผ่านเข้าช่องว่างให้กองหน้าวิ่งโฉบพาบอลเข้าไปยิงประตูทันที ดังตัวอย่างการเล่นในภาพที่ 8 และภาพที่ 9 เป็นต้น
7. การยิงไกลจากแถวที่ 2 ( Secon row long shoot ) บางครั้งแนวรับถอยลงไปตั้งรับในแนวลึกบริเวณหน้าประตู ทำให้บริเวณด้านหน้าประตูมีผู้เล่นออกันแน่นไปหมด โอกาสในการเข้าไปยิงประตูทำได้ยาก ดังนั้นฝ่ายรุกต้องหาแนวทางอื่น ด้วยการยิงไกลจากผู้เล่นแถวที่ 2 ให้เข้าประตู แทนการเจาะเข้าไปแล้วติดแนวป้องกัน ดังตัวอย่างการเล่นในภาพที่ 10 เป็นต้น
ภาพจาก taringa.net
เกมรุกที่มีประสิทธิภาพนั้น นอกจากจะใช้วิธีการเล่นในแนวกว้าง การเจาะทะลุทะลวงแนวรับ และใช้การเคลื่อนที่เพื่อสร้างโอกาสบุกผ่านแนวรับได้หรือสรุปว่าทีมสามารถพาบอลบุกไปถึงหน้าประตูคู่ต่อสู้ได้แล้วก็ตาม ผู้เล่นต้องใช้ไหวพริบหาจังหวะและโอกาสทำประตู (Improvisation) ซึ่งท้ายสุดต้องใช้เทคนิคที่สำคัญนี้เพื่อทำให้ความสำเร็จเกิดขึ้นได้ เทคนิคนี้ก็คือ..การเข้าทำประตู ซึ่งสถานะการณ์ดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นในเขตประตูหรือบริเวณนอกเขตด้านหน้าประตูนั่นเอง
เทคนิคการเข้าทำประตู จำเป็นต้องเรียนรู้เพื่อให้เกิดความเข้าใจ และต้องสร้างความสัมพันธ์ให้เกิดขึ้นกับผู้เล่นเกมรุกทุกคน เพราะถ้าไม่เข้าใจไม่มีความสัมพันธ์กัน โอกาสการเข้าทำประตูจะไม่ลงตัวและจะหมดโอกาสยิงประตูทันที
เทคนิคการเข้าทำประตู 7 แบบดังนี้
1. ผ่านจากด้านข้าง ( Crossing )
2. ด้านหน้าไม่ว่างส่งคืนหลัง (Back pass )
3. เปิดทางตัดหลังแบ็ค ( Cut back )
4. เลี้ยงแหวกเข้าไปยิง (Solo )
5. ทำชิ่ง 1-2 ( Wall pass )
6. แทงผ่านตามช่อง (Through )
7. แถว 2 ลองยิงไกล (Secon row long shoot )
1. การผ่านจากด้านข้างสนาม( Crossing ) เป็นการเจาะแนวรับจากทางด้านข้าง แล้วกดดันโดยการส่งบอลเข้ามาบริเวณหน้าประตู เพื่อให้กองหน้าโฉบเข้าหาบอลแล้วยิงประตู
ภาพที่ 1
2. ด้านหน้าไม่ว่างส่งคืนหลัง (Back pass )
3. เปิดทางตัดหลังแบ็ค ( Cut back )
4. เลี้ยงแหวกเข้าไปยิง (Solo )
5. ทำชิ่ง 1-2 ( Wall pass )
6. แทงผ่านตามช่อง (Through )
7. แถว 2 ลองยิงไกล (Secon row long shoot )
1. การผ่านจากด้านข้างสนาม( Crossing ) เป็นการเจาะแนวรับจากทางด้านข้าง แล้วกดดันโดยการส่งบอลเข้ามาบริเวณหน้าประตู เพื่อให้กองหน้าโฉบเข้าหาบอลแล้วยิงประตู
จากภาพที่ 1 ฝ่ายรุกเจาะผ่านแนวรับทางด้านข้างแล้วเห็นว่ามีพื้นที่ว่างระหว่างแนวรับกับประตูอยู่พอสมควร จึงส่งบอลเข้ามาด้านหลังแนวรับทันที เพื่อให้กองหน้าวิ่งทะลุผ่านแนวรับเข้าหาบอลที่พุ่งเข้ามาแล้วยิงประตูทันที
ภาพที่ 2
จากภาพที่ 2 จะคล้ายกับสถานะการณ์ที่ 1 แต่แนวรับถอยลงมาป้องกันได้เร็วอยู่บริเวณหน้าประตู ส่วนคนที่จะเปิดบอลก็ถูกไล่แย่งจากผู้เล่นฝ่ายรับเช่นกัน จึงต้องรีบส่งบอลดังนั้นควรเปิดบอลยัดเข้าไปหน้าประตู กองหน้าต้องพยายามวิ่งโฉบเข้าหาบอลบริเวณเสาแรกเพื่อกดดันและยิงประตูทันที แต่ถ้าฝ่ายรับเข้าสกัดบอลพลาดอาจจะทำเข้าประตูตัวเองได้เช่นกัน
ภาพที่ 3
จากภาพที่ 3 เมื่อสามารถเจาะผ่านแนวรับทางด้านข้างมาได้ แล้วเห็นว่าบริเวณเสาแรกและตรงกลางหน้าประตูมีผู้เล่นฝ่ายรับเข้ามาปิดทางการเล่นไว้ นั่นแสดงว่าบริเวณเสา 2 จะว่าง ดังนั้นควรโยนบอลไปให้ผู้เล่นที่โฉบเข้ามาที่เสาไกลโหม่งบอลให้เข้าประตูทันที
2.การส่งคืนหลัง ( Back pass ) เมื่อกองหน้าไม่สามารถหาจังหวะยิงประตูจากบอลที่ผ่านมาให้ในจังหวะแรกได้ เราไม่ควรพลาดโอกาสในการทำประตูไป จึงต้องสร้างโอกาสการเข้ายิงประตูใหม่อีกครั้ง โดยส่งให้เพื่อนร่วมทีมคนอื่นยิงประตูให้ได้เช้นกัน
ภาพที่ 4
จากภาพที่ 4 เป็นสถานะการณ์ตัวอย่างเช่นถ้าผู้เล่นฝ่ายรุกที่รอรับบอลจากการส่งมาให้ที่เสา 2 แต่มีผู้เล่นฝ่ายรับเข้าสกัดกั้นทำให้ไม่สามารถโหม่งบอลให้เข้าประตูได้ ดังนั้นจึงควรโหม่งบอลส่งคืนมาด้านหลังให้เพื่อนร่วมทีมเข้ายิงประตูแทน เป็นต้น
3.การผ่านบอลจากเส้นประตูตัดหลังแบ็ค ( Cut back ) เมื่อสถานะการณ์เปลี่ยน ผู้เล่นฝ่ายรุกที่พาบอลทะลุและหนีฝ่ายรับเข้าไปถึงเส้นประตู ซึ่งเป็นการยากที่จะผ่านบอลให้กองหน้าที่รอยิงอยู่ที่หน้าประตูได้ง่าย ดังนั้นจึงควรสร้างโอกาสด้วยวิธีใหม่ โดยการส่งบอลผ่านแนวรับตัดหลังแบ็คออกมาให้เพื่อนร่วมทีมที่หนีตัวถอยกลับออกมารับบอลแล้วยิงประตูทันที ตัวอย่างในภาพที่ 5
ภาพที่ 5
4.การเลี้ยงพาบอลเข้าไปยิงเอง ( Solo ) ในบางครั้งสถานการณ์ไม่ได้เป็นใจอย่างที่เราต้องการ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เมื่อไม่สามารถจะส่งบอลให้เพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆได้ เพื่อไม่ให้เสียการครอบครองบอลไปจึงควรตัดสินใจ กระชาก ลากเลี้ยงบอลทะลุทะลวงแนวรับเข้าไปเพื่อยิงประตูเองทันที ดังตัวอย่างการเล่นในภาพที่ 6 เป็นต้น
ภาพที่6
5.การทำชิ่ง 1-2 ( Wall pass ) บางสถานะการณ์ฝ่ายรุกต้องโจมตีแนวรับบริเวณแนวกลางด้านหน้าประตู ผู้เล่นฝ่ายรุกต้องใช้ไหวพริบและการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว โดยการส่งบอลแบบทำชิ่ง 1-2 ให้ทะลุผ่านแนวรับเข้าไปยิงประตู ดังตัวอย่างการเล่นในภาพที่ 7 เป้นต้น
ภาพที่ 7
6. การส่งบอลทะลุตามช่อง ( Through ) บางครั้งโอกาสเปิด เราสามารถฉกฉวยโอกาสที่ฝ่ายรับยืนป้องกันไม่ดีมีช่องว่างเปิดกว้าง ทำให้สามารถส่งบอลผ่านเข้าช่องว่างให้กองหน้าวิ่งโฉบพาบอลเข้าไปยิงประตูทันที ดังตัวอย่างการเล่นในภาพที่ 8 และภาพที่ 9 เป็นต้น
ภาพที่ 8
ภาพที่ 9
ภาพที่ 10
เทคนิคการบุกเข้าทำประตูในเกมรุก ทั้ง 7 แบบนั้นถือได้ว่าเป็นเทคนิคสากลที่ใช้กันทั่วโลก เพียงแต่ว่า แต่ละทีมต้องสร้างให้ผู้เล่นมีความรู้ มีความเข้าใจว่าควรใช้ในสถานะการณ์ใดและต้องฝึกซ้อมกันให้เกิดความชำนาญและมีความสัมพันธ์อย่างดี จึงจะส่งผลให้เกมรุกของทีมมีศักยภาพและประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น ลองนำไปใช้นะครับ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น